ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis)
โรคตับอักเสบ คืออาการที่เซลล์ตับถูกทำลาย อาจเกิดได้จากสาเหตุหลาย อย่าง เช่น จากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือหนอนพยาธิ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการได้รับยา สุรา หรือสารพิษบางอย่าง แต่สาเหตุสำคัญ คือ การติดเชื้อไวรัส
มีไวรัสหลายชนิดทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้ ที่สำคัญสุด คือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบี บางราย หรือ ผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่มีอาการกลายเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบซึ่งคนเหล่านี้จะมีโอกาส เป็นโรคตับอักเสบชนิดเรื้อรัง และโรคตับแข็งได้ ถ้าหากติดเชื้อมาตั้งแต่เด็กจะมีโอกาสเกิดเป็นโรคมะเร็งตับ ได้มากกว่าคนที่ไม่มีเชื้อหลายเท่า ไวรัสตับอักเสบบี เป็นที่รู้จักกันทั่วไป
ในประเทศไทยพบอัตราการเป็นพาหะของไวรัสนี้ร้อยละ 6-10 ของประชากร ( ประมาณ 3.6 - 6 ล้านคน )
ตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบ เกิดการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ พบ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ในทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ส่วนน้อยอาจเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง โรคตับวาย มะเร็งตับ ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะ เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดการอักเสบของตับเป็นสำคัญ ซึ่งแบ่งออกเป็น
ไวรัสตับอักเสบชนิด เอ
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ เกิดจาก การกินเชื้อเข้าไปทางปาก เช่น อาหาร ผัดสด ผลไม้ น้ำดื่ม ที่ปนเปื้อนเชื้อนี้ แล้วทำไม่สุก ไม่สะอาด ไม่ต้มเดือด เป็นต้น ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ ประมาณ 2 - 6 สัปดาห์ โดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์หลังรับเชื้อ ในเด็กมักมีอาการน้อย ในผู้ใหญ่มีอาการที่ชัดเจนของตับอักเสบเฉียบพลัน เชื้อนี้ออกมากับอุจจาระของผู้ป่วยตั้งแต่ระยะ 2 สัปดาห์ก่อนมี อาการ จนถึงระยะที่มีอาการของโรค เชื้อไวรัสนี้จะคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน บางครั้งจึงพบมีการระบาดในกลุ่มคนที่อยู่รวมกัน เช่น โรงเรียน หอพัก ค่ายทหาร เป็นต้น
ไวรัสตับอักเสบชนิด บี
คน เป็นพาหะที่สำคัญของเชื้อไวรัสนี้ ประเทศไทยมี ความชุกคนของพาหะร้อยละ8–10 หรือประมาณ 5 ล้านคนที่มีเชื้อไวรัสนี้ในร่างกาย พบเชื้อได้ในเลือด น้ำเหลือง สิ่งคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น น้ำอสุจิ น้ำในช่องคลอด น้ำลาย น้ำตา น้ำนม เป็นต้น ทำให้มีโอกาสแพร่ เชื้อได้หลายทาง ทางเข้าของเชื้อ ได้แก่
1. ทางเพศสัมพันธ์ กับผู้เป็นพาหะของเชื้อนี้
2. ทารกคลอดจากมารดาที่เป็นพาหะ อาจติดเชื้อระหว่างคลอด การเลี้ยงดู
3. ทางเลือดและน้ำเหลือง การได้รับเลือดที่ติดเชื้ออาจเกิดจากการใช้ของมีคม/ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น การใช้เข็มฉีดยาเสพติดเข้าเส้นร่วมกัน การฝังเข็ม การสัก การเจาะหู การใช้ใบมีดโกน ร่วมกัน เป็นต้น
4. ทางผิดหนังที่เกิดบาดแผล ผิวหนังถลอก
5. ทางสัมผัสใกล้ชิดระหว่างผู้ที่เป็นพาหะกับผู้อื่น เช่น สมาชิกในครอบครัว เด็กวัยเรียน เป็นต้น
ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ 30 - 180 วัน (เฉลี่ย 60 - 90 วัน ) ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสนี้ จะหายเป็นปกติ ที่เหลือเป็นพาหะของเชื้อต่อไปพาหะของเชื้อไวรัส ซึ่งอาจไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อต่อไป แต่ส่วนหนึ่งอาจป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง มะเร็งตับได้ (ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อนี้มีโอกาสเสี่ยงของมะเร็งตับสูงกว่าคนทั่วไปถึง 223 เท่า) ไวรัสตับอักเสบชนิด ซี
เป็นสาเหตุที่สำคัญของ ตับอักเสบที่เกิดขึ้นภายหลังการได้รับเลือด/ผลิตภัณฑ์เลือด เดิมเรียกว่า ไวรัสตับ อักเสบ ชนิด ไม่ใช่เอ ไม่ใช่บี
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด ซี พบในประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 1 ติดต่อได้โดยทางเลือดและน้ำเหลือง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดนอกจากนี้ อาจติดเชื้อได้ทางเพศสัมพันธ์
ระยะฟักตัวของเชื้อนี้ ประมาณ 15 - 160 วัน เฉลี่ย 50 วัน ทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลัน เชื่อว่าเชื้อ ไวรัสนี้ยังทำให้เกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบชนิด บี ไวรัสตับอักเสพชนิด ดี
เป็นไวรัสที่ไม่สมบูรณ์ ต้องอยู่ร่วมกับไวรัสตับอักเสบ บี มักจะพบเชื้อนี้ในกลุ่มผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นที่มีเชื้อไวรัส บี ทางติดต่อเช่นเดียวกับ ไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบชนิด อี
มีรายงานการระบาดของไวรัสนี้ในบางประเทศ ติดเชื้อไวรัสนี้โดยการกิน เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบ เอ อาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลัน แบ่งได้เป็น 3 ระยะดังนี้
1. ระยะอาการนำ มีอาการอ่อนเพลียมีไข้ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการคล้าย ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ เบื่ออาหารมก คลื่นไส้ อาเจียน อาจปวดท้องบริเวณชายโครงขวา มีท้องเสียได้ ปัสสาวะสีเหลืองเข้มผิดปกติ ฯลฯ อาการนำเป็นอยู่นาน 4 - 5 วัน จนถึง 1 - 2 สัปดาห์
2. ระยะอาการเหลือง “ดีซ่าน” ผู้ป่วยมีตาเหลือง ตัวเหลือง อาการทั่วไปดีขึ้น แต่ยังอ่อนเพลียคล้ายหมดแรง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ผู้ป่วยตับอักเสบจากไวรัสพบว่า มีอาการดีซ่านเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่า
3. ระยะฟื้นตัว อาจยังอ่อนเพลียอยู่ อาการข้างต้นหายไป หายเหลืองโดยทั่วไป ระยะเวลาของการป่วยนาน 2 - 4 สัปดาห์ จนถึง 8 - 12 สัปดาห์ การวินิจฉัยโรคตับอักเสบจากไวรัส
วินิจฉัยได้จากอาการและอาการแสดงดังกล่าว ร่วมกับ การตรวจร่างกาย และ การตรวจเลือด ดังนี้
1. ตรวจเลือดสมรรถภาพตับ
2. ตรวจเลือดว่าเป็นไวรัสชนิดใด เช่น ตับอักเสบบี การรักษาโรคตับอักเสบจากไวรัส
ยังไม่มียารักษาโรคโดยตรง เป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น ซึ่งได้แก่
• การพักผ่อนเต็มที่ในระยะแรก ๆ จะช่วยลดอาการอ่อนเพลีย งดการออกแรงออกกำลังกาย งดการดื่มสุรา
• รับประทานอาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม น้ำหวาน น้ำผลไม้
• ควรหลีกเลี่ยงอาการไขมันสูงในระยะที่มีคลื่นไส้ อาเจียนมาก
• ในรายที่อาการมากอาจให้สารน้ำเข้าเส้นเลือดดำ ให้น้ำเกลือ หรือ ให้ยาแก้คลื่นไส้ ยาวิตามิน